การเทรดด้วยคำสั่ง เป็นแนวคิดพื้นฐานในตลาดการเงิน ซึ่งหมายถึงกระบวนการส่งคำสั่ง (Orders) เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์การเงิน (สกุลเงิน หุ้น สินทรัพย์ crypto เป็นต้น) ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์ คำสั่งเหล่านี้กำหนดเงื่อนไขในการดำเนินการซื้อขาย: ราคา ปริมาณ และเวลา การใช้คำสั่งประเภทต่างๆ เป็นรากฐานของกลยุทธ์การเทรดสมัยใหม่ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถดำเนินการโดยอัตโนมัติ จัดการความเสี่ยง และดำเนินการอย่างมีวินัยโดยไม่ต้องคอยจ้องหน้าจอตลอดเวลา ความเข้าใจในกลไกของคำสั่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้เข้าร่วมตลาดระดับมืออาชีพ
«ออร์เดอร์เทรดดิ้ง» — เป็นการซื้อขายโดยใช้ออร์เดอร์หลากหลายประเภทเพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ทางการเงิน ออร์เดอร์คือคำสั่งให้โบรกเกอร์ทำการซื้อขายตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ตามราคาตลาดปัจจุบัน (ออร์เดอร์ตลาด) หรือตามราคาที่กำหนดล่วงหน้าที่เหมาะสมกว่า (ออร์เดอร์ลิมิต)
คำสั่งซื้อขายคืออะไร?
คำสั่งซื้อขายคือคำสั่งอย่างเป็นทางการที่เทรดเดอร์ส่งไปยังโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการซื้อขายของตนเพื่อดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยพื้นฐานแล้ว คำสั่งซื้อขายคือชุดพารามิเตอร์ที่เข้มงวดซึ่งกำหนดว่าควรซื้อหรือขายอะไร เมื่อใด และในปริมาณเท่าใด หากไม่มีระบบคำสั่งซื้อขาย ตลาดจะเป็นสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ซึ่งการซื้อขายทั้งหมดจะดำเนินการด้วยตนเองในราคาปัจจุบัน ทำให้การวางแผนและการบริหารความเสี่ยงเป็นไปไม่ได้
คำสั่งซื้อขายแต่ละคำสั่งประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญหลายประการ ที่สำคัญที่สุด ได้แก่ ประเภทสินทรัพย์ (เช่น หุ้น Apple Inc.), การดำเนินการ (ซื้อหรือขาย), ขนาดล็อต (ปริมาณการซื้อขาย) และประเภทคำสั่งซื้อขาย (ตลาด, ขีดจำกัด ฯลฯ) ประเภทของคำสั่งซื้อขายเป็นตัวกำหนดเงื่อนไขการดำเนินการ เทรดเดอร์ใช้คำสั่งซื้อขายไม่เพียงแต่เพื่อเข้าซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเพื่อออกจากการซื้อขายด้วย ซึ่งทั้งกำไรและขาดทุน ทำให้คำสั่งซื้อขายเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์สำหรับการจัดการสถานะการซื้อขายทั้งหมด
วิวัฒนาการของคำสั่งซื้อขายมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการพัฒนาระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ ในยุคของการซื้อขายแบบเปิด คำสั่งจะถูกส่งออกไปในหลุม แต่ปัจจุบันถูกส่งผ่านระบบดิจิทัลภายในเสี้ยววินาที ซึ่งทำให้สามารถสร้างประเภทคำสั่งที่ซับซ้อนซึ่งสามารถคงอยู่ในระบบได้นานหลายสัปดาห์ รอให้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น ดังนั้น คำสั่งจึงไม่ใช่แค่คำสั่ง แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทำให้แผนการเทรดเป็นจริง
ความสำคัญของคำสั่งนั้นไม่อาจมองข้ามได้จากมุมมองทางจิตวิทยาการเทรด คำสั่งเหล่านี้ช่วยขจัดองค์ประกอบทางอารมณ์ในการตัดสินใจ เทรดเดอร์จะกำหนดจุดเข้าและออกล่วงหน้าในสภาพแวดล้อมที่สงบ จากนั้นตลาดก็จะดำเนินตามแผน สิ่งนี้ช่วยปลูกฝังวินัยและป้องกันการตัดสินใจที่มักไม่ทำกำไร ซึ่งมักเกิดจากความโลภหรือความกลัว
ในเทอร์มินัลการเทรดสมัยใหม่ เช่น MetaTrader, Thinkorswim หรือ Quik อินเทอร์เฟซการวางคำสั่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมพารามิเตอร์ทั้งหมดของการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ การเข้าใจวิธีการวางคำสั่งอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกที่ทำได้จริงสำหรับทุกคนที่เริ่มต้นเส้นทางในตลาดการเงิน
ประเภทของคำสั่งซื้อขายในการซื้อขาย
ความหลากหลายของกลยุทธ์การซื้อขายและสภาวะตลาดนำไปสู่การเกิดขึ้นของประเภทคำสั่งซื้อขายที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์เฉพาะ คำสั่งเหล่านี้สามารถแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ คำสั่งดำเนินการทันที (instant execution order) และคำสั่งรอดำเนินการ (pending order) คำสั่งดำเนินการทันที (instant execution order) ดังชื่อที่บ่งบอก ถูกออกแบบมาเพื่อดำเนินการซื้อขาย ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ณ เวลาที่สั่งซื้อขาย ตัวแทนหลักของหมวดหมู่นี้คือคำสั่งตลาด (market order)
หมวดหมู่หลักที่สองคือคำสั่งรอดำเนินการ (pending order) ซึ่งเป็นคำสั่งที่วางไว้ในระบบการซื้อขายเพื่อดำเนินการซื้อขายในอนาคตเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด คำสั่งรอดำเนินการประกอบด้วยคำสั่งจำกัด (limit order), คำสั่งหยุด (stop order), คำสั่งทำกำไร (take profit order) และคำสั่งหยุดต่อเนื่อง (trailing stop order) ข้อได้เปรียบหลักของคำสั่งเหล่านี้คือระบบอัตโนมัติ ทำให้เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องคอยติดตามกราฟราคาอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการจำแนกประเภทพื้นฐานแล้ว คำสั่งยังสามารถจำแนกตามหน้าที่หลัก ได้แก่ การเข้าสู่ตลาด การจำกัดการขาดทุน (stop-loss) หรือการกำหนดกำไร (take-profit order) คำสั่งบางคำสั่ง เช่น OCO (One Cancels the Other) และ IF-THEN เป็นคำสั่งแบบมีเงื่อนไขและสร้างห่วงโซ่ ซึ่งการเปิดใช้งานคำสั่งหนึ่งจะยกเลิกอีกคำสั่งหนึ่งโดยอัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือขั้นสูงสำหรับการสร้างระบบการซื้อขายที่ซับซ้อน
การเลือกประเภทคำสั่งเฉพาะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การซื้อขายโดยตรง นักเก็งกำไรที่ซื้อขายในกรอบเวลาสั้นอาจต้องการคำสั่งตลาดเพื่อเข้าซื้อขายทันที ในทางกลับกัน นักลงทุนระยะยาวจะใช้คำสั่งจำกัด (Limit Order) เพื่อซื้อสินทรัพย์ในราคาที่เหมาะสมและกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนของตลาดในปัจจุบัน
ดังนั้น ภาพรวมของคำสั่งในการซื้อขายจึงมีความหลากหลาย ความสามารถในการผสมผสานคำสั่งประเภทต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเชี่ยวชาญเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวทางการซื้อขายแบบมืออาชีพ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างระบบเงินทุนและการจัดการความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวในตลาด
คำสั่งตลาด
คำสั่งตลาดคือคำสั่งที่โบรกเกอร์สั่งให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่ดีที่สุดในตลาด ณ ขณะนั้น เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการเปิดหรือปิดสถานะ ลักษณะสำคัญคือความรวดเร็วและการดำเนินการที่รับประกัน แต่ไม่ใช่ราคาที่รับประกัน เมื่อเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อขายในตลาด พวกเขากำลังบอกว่า “ฉันต้องเข้าเทรดตอนนี้ และยอมรับราคาที่ตลาดเสนอ”
กลไกของการดำเนินการคำสั่งซื้อขายในตลาดคือการจับคู่กับคำสั่งซื้อที่ตรงกันข้ามในสมุดคำสั่งซื้อ (สมุดคำสั่งซื้อ) คำสั่งซื้อจะดำเนินการที่ราคาเสนอขาย และคำสั่งขายจะดำเนินการที่ราคาเสนอซื้อ ส่วนต่างระหว่างราคาเหล่านี้เรียกว่า สเปรด และเป็นต้นทุนหลักที่ เทรดเดอร์จ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อใช้คำสั่งตลาด
ข้อได้เปรียบหลักของคำสั่งตลาดคือการดำเนินการทันที ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกวินาทีมีค่า เช่น ในช่วงที่มีข่าวสำคัญๆ คำสั่งตลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ที่เทรดเดอร์จำเป็นต้องมั่นใจว่าจะเข้าหรือออกจากตลาดได้ แม้จะมีความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ข้อเสียเปรียบหลักของคำสั่งประเภทนี้คือสลิปเพจ ในช่วงที่มีความผันผวนสูงหรือสภาพคล่องต่ำ ราคาที่ดำเนินการของคำสั่งตลาดอาจแตกต่างจากราคาที่เทรดเดอร์เห็นบนกราฟในขณะที่วางคำสั่งอย่างมาก คำสั่งสามารถดำเนินการได้หลายราคา เนื่องจากเป็นการ “ดึง” สภาพคล่องออกจากสมุดคำสั่งจนกว่าจะได้รับปริมาณการซื้อขายครบถ้วน
แม้จะมีความเสี่ยงจากสลิปเพจ แต่คำสั่งตลาดยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในหมู่เทรดเดอร์มือใหม่ เนื่องจากความเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมตลาดที่มีประสบการณ์มักใช้คำสั่งตลาดด้วยความระมัดระวัง โดยนิยมใช้คำสั่งประเภทที่มีการควบคุมมากกว่า เช่น คำสั่งจำกัด ในช่วงที่ตลาดเงียบ
คำสั่งจำกัด
คำสั่งจำกัดคือคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดหรือสูงกว่า ซึ่งแตกต่างจากคำสั่งตลาด คำสั่งนี้ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคามากกว่าความเร็วในการดำเนินการ คำสั่งซื้อที่มีคำสั่งจำกัดจะดำเนินการเฉพาะในราคาที่กำหนดหรือต่ำกว่า ในขณะที่คำสั่งขายจะดำเนินการเฉพาะในราคาที่กำหนดหรือสูงกว่า
คำสั่งจำกัดทำงานโดยการวางไว้ในสมุดคำสั่งซื้อและรอไว้จนกว่าราคาตลาดจะถึงระดับที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากสินทรัพย์ซื้อขายอยู่ที่ 150 ดอลลาร์ เทรดเดอร์อาจวางคำสั่งจำกัดเพื่อซื้อที่ 148 ดอลลาร์ หากราคาลดลงมาถึงระดับนี้ คำสั่งจะถูกดำเนินการ วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถซื้อสินทรัพย์ “ที่ราคาลดลง” และขาย “ที่ราคาเพิ่มขึ้น” ซึ่งเป็นพื้นฐานของกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าและกลยุทธ์การซื้อขายแบบสวิงเทรดมากมาย
ข้อได้เปรียบสำคัญของคำสั่งจำกัดคือการควบคุมราคาเข้าหรือออกอย่างสมบูรณ์ เทรดเดอร์ทราบราคาที่จะซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการลื่นไถล (โดยสมมติว่ามีสภาพคล่องเพียงพอ) ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คำสั่งจำกัด (Limit Order) เทรดเดอร์มักจะได้ราคาที่ดีกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
ความเสี่ยงหลักที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งจำกัดคือความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ราคาตลาดอาจไม่ถึงระดับที่กำหนด และอาจกลับตัวไปในทิศทางที่ต้องการโดยที่เทรดเดอร์ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ในกรณีนี้ กำไรที่อาจเกิดขึ้นจะสูญเสียไป คำสั่งประเภทนี้ต้องอาศัยการมองการณ์ไกลและความเข้าใจในระดับแนวรับและแนวต้าน
คำสั่งจำกัดถูกใช้อย่างแพร่หลายเพื่อสะสมสถานะภายในช่วงราคาที่กำหนดและเพื่อล็อกกำไร คำสั่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดอย่างมีวินัยและลดต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสเปรดและค่าคอมมิชชั่น
คำสั่งหยุด (Stop Order)
คำสั่งหยุด (Stop-loss) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Stop Loss คือคำสั่งรอดำเนินการที่จะแปลงเป็นคำสั่งตลาดเมื่อราคาสินทรัพย์ถึงระดับหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า Stop Price หน้าที่หลักของคำสั่งนี้คือจำกัดการขาดทุนจากสถานะที่มีอยู่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่เทรดเดอร์ทุกคนควรมี
มันทำงานอย่างไร? หากเทรดเดอร์ซื้อสินทรัพย์ที่ราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ พวกเขาสามารถวางคำสั่งหยุดการซื้อขาย (Stop Order) เพื่อขายที่ราคา 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคาลดลงและถึง 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ คำสั่งดังกล่าวจะถูกเปิดใช้งานและแปลงเป็นคำสั่งตลาด (Market Order) โดยขายสินทรัพย์นั้นในราคาที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น ซึ่งจะจำกัดการขาดทุนไว้ที่ประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหน่วยสินทรัพย์ (หักค่าคอมมิชชั่นและค่าสลิปเพจที่อาจเกิดขึ้น)
นอกจากการจำกัดการขาดทุนแล้ว คำสั่งหยุดการซื้อขายยังสามารถใช้ในการเข้าสู่ตลาดได้อีกด้วย คำสั่งดังกล่าวเรียกว่า คำสั่งซื้อ (Buy Order) ซึ่งวางไว้เหนือราคาตลาดปัจจุบัน และใช้ในการเข้าสถานะซื้อ (Long Position) เมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการคงอยู่ของแนวโน้ม ในทำนองเดียวกัน คำสั่งขาย (Stop Order) ซึ่งวางไว้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เพื่อเข้าสู่สถานะขาย (Short Position) เมื่อแนวรับถูกทำลาย
ข้อดีหลักของคำสั่งหยุดการซื้อขาย (Stop Order) คือวินัยและการปกป้องเงินทุน คำสั่งนี้จะปิดการซื้อขายที่ขาดทุนโดยบังคับ เพื่อป้องกันความหวังทางอารมณ์ที่ตลาดจะกลับตัว หากไม่มีคำสั่งหยุดการซื้อขาย การเทรดที่ไม่ประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ คำสั่งหยุดการซื้อขายเปรียบเสมือน “กรมธรรม์ประกันภัย” สำหรับเทรดเดอร์
ข้อเสียของคำสั่ง Stop Order เช่นเดียวกับคำสั่ง Market Order อื่นๆ คือความเสี่ยงจาก Slippage ในช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีช่องว่างของราคา ราคาที่ดำเนินการอาจต่ำกว่าราคา Stop Order อย่างมาก เพื่อลดความเสี่ยงนี้ เทรดเดอร์บางรายจึงใช้คำสั่ง Stop-Limit Order ซึ่งเปลี่ยนเป็นคำสั่ง Limit Order แทนที่จะเป็นคำสั่ง Market Order แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
Take Profit
Take Profit คือคำสั่งรอดำเนินการที่ออกแบบมาเพื่อล็อกกำไรโดยอัตโนมัติในสถานะเปิด เมื่อราคาถึงระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ เมื่อราคาถึงระดับนี้ คำสั่งจะถูกดำเนินการและสถานะจะถูกปิด การใช้ Take Profit ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการทำกำไรอย่างเป็นทางการ และหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจที่จะปิดการซื้อขายก่อนกำหนด หรือในทางกลับกัน โลภมากโดยหวังว่าจะเติบโตมากขึ้น
Take Profit ทำงานคล้ายกับคำสั่ง Limit Order สำหรับสถานะ Long (ซื้อ) คำสั่งขาย Take Profit จะถูกวางไว้เหนือราคาตลาดปัจจุบัน สำหรับสถานะ Short (ขาย) คำสั่งซื้อ Take Profit จะถูกวางไว้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เมื่อตลาดถึงระดับราคาที่กำหนด คำสั่งจะถูกดำเนินการและล็อกกำไรที่วางแผนไว้
ข้อดีหลักของ Take Profit คือระบบอัตโนมัติของกระบวนการ Take Profit เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องคอยติดตามกราฟและตัดสินใจปิดเมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เอื้ออำนวย วิธีนี้ช่วยขจัดองค์ประกอบทางอารมณ์ เช่น ความกลัวและความโลภ ซึ่งมักทำให้เทรดเดอร์ฝ่าฝืนระบบการซื้อขายของตน
วัตถุประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งของ Take Profit คือการรักษาอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้เป็นบวก การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้สูงกว่าจุดตัดขาดทุนสองหรือสามเท่า จะทำให้เทรดเดอร์สามารถตั้งราคาซื้อขายที่คาดหวังไว้เป็นบวกได้ แม้ว่าบางออเดอร์จะไม่ทำกำไร แต่ผลลัพธ์โดยรวมจะยังคงเป็นบวก
ข้อเสียของการตั้งจุดทำกำไรคือสามารถปิดออเดอร์ได้ก่อนที่แนวโน้มจะหมดลง เมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับเป้าหมายและเปิดออเดอร์ทำกำไรหลายออเดอร์ อาจกลับตัวและเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิม เพื่อแก้ปัญหานี้ เทรดเดอร์บางรายใช้เทคนิคที่เรียกว่าการปิดสถานะบางส่วน (Partial Closing of the Position) โดยล็อกกำไรบางส่วนไว้ที่ระดับหนึ่ง และปล่อยให้กำไรส่วนที่เหลือเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม
Trailing Stop
Trailing Stop เป็นประเภทคำสั่งแบบไดนามิกขั้นสูงที่รวมฟังก์ชัน Stop-Loss และ Take-Profit ไว้ด้วยกัน ซึ่งแตกต่างจากคำสั่ง Stop-Loss แบบคงที่ที่คงที่อยู่ที่ระดับราคาเดียว Trailing Stop จะเคลื่อนไหวไปพร้อมกับราคาโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยต่อเทรดเดอร์ วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรไว้ได้เมื่อแนวโน้มกลับตัวโดยไม่จำกัดการเติบโตที่อาจเกิดขึ้น
กลไกของ Trailing Stop ขึ้นอยู่กับการกำหนดระยะห่างที่เฉพาะเจาะจง (เป็นหน่วย pips, เปอร์เซ็นต์ หรือดอลลาร์) จากราคาตลาดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ตั้งค่า Trailing Stop ต่ำกว่าราคา 50 pips สำหรับสถานะ Long หากราคาเพิ่มขึ้น ระดับ Stop จะถูกเลื่อนขึ้น โดยรักษาระยะห่างไว้ที่ 50 pips หากราคาเริ่มลดลง ระดับ Stop จะยังคงอยู่ที่จุดสูงสุดที่กำหนดไว้ และหากราคาลดลงต่ำกว่าจุดสูงสุดนี้ 50 pips คำสั่งปิดออเดอร์จะเริ่มต้นขึ้น
ข้อดีหลักของ Trailing Stop คือความสามารถในการ “ปล่อยให้กำไรไหลเข้า” เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนไหวของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มจะสิ้นสุดที่ใด Trailing Stop ช่วยให้คุณสามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวได้อย่างมีนัยสำคัญ และปกป้องกำไรที่สะสมไว้โดยอัตโนมัติในช่วงที่เกิดการปรับฐาน
คำสั่งประเภทนี้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เทรดเดอร์หลุดพ้นจากคำถามที่น่าปวดหัวอย่าง “ถึงเวลาขายทำกำไรหรือยัง?” หรือ “ฉันควรรออีกหน่อยไหม?” ระบบจะทำทุกอย่างโดยอัตโนมัติตามการตั้งค่าที่กำหนดไว้ เพื่อรักษาวินัยและขจัดอารมณ์ความรู้สึกออกจากกระบวนการตัดสินใจ
ข้อเสียเปรียบหลักของ Trailing Stop คือ ในตลาดที่มีความผันผวนหรือตลาดผันผวน อาจปิดสถานะก่อนกำหนดได้เนื่องจากการดึงกลับเล็กน้อย นอกจากนี้ Trailing Stop อาจเป็นแบบ “เฉพาะลูกค้า” ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม กล่าวคือ จะใช้งานได้เฉพาะเมื่อเทอร์มินัลการซื้อขายกำลังทำงาน ซึ่งต้องใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
คำสั่ง Limit Order ในการซื้อขายคืออะไร?
คำสั่ง Limit Order ในการซื้อขายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมราคาดำเนินการของการซื้อขายได้อย่างสมบูรณ์ เป็นคำสั่งให้โบรกเกอร์ดำเนินการซื้อขายเฉพาะในราคาที่กำหนดหรือราคาที่ดีกว่า ซึ่งตรงกันข้ามกับคำสั่ง Market Order ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินการทันทีมากกว่าการควบคุมราคา
คำสั่ง Limit Order เปรียบได้กับการวาง “คำสั่งดัก” ในสมุดคำสั่งซื้อ เมื่อเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อ Limit Order พวกเขากำลังบอกตลาดว่า “ฉันยินดีที่จะซื้อสินทรัพย์นี้ แต่ไม่ใช่ในราคาที่สูงกว่า X” ในทางกลับกัน เมื่อเห็นคำสั่งนี้ ผู้ขายอาจตกลงตามราคาที่เสนอ หากผลประโยชน์ของพวกเขาสอดคล้องกับผู้ซื้อ สิ่งนี้สร้างความโปร่งใสและรับประกันราคาที่เป็นธรรม
ในเชิงกลยุทธ์ คำสั่งจำกัด (Limit Order) ถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวทาง “ซื้อเมื่อราคาลง ขายเมื่อราคาขึ้น” คำสั่งเหล่านี้ช่วยให้สถานะซื้อขายสะสมใกล้แนวรับ (สำหรับซื้อ) และแนวต้าน (สำหรับขาย) ซึ่งเป็นพื้นฐานของวิธีการซื้อขายที่มีวินัยมากมาย นอกจากนี้ ผู้เล่นสถาบันรายใหญ่มักใช้คำสั่งจำกัดเพื่อเข้าสถานะซื้อขายขนาดใหญ่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือความแตกต่างระหว่างคำสั่ง buy limit order และคำสั่ง sell limit order คำสั่ง buy limit orderคำสั่งจำกัด (Limit Order) จะดำเนินการที่ราคาจำกัดหรือต่ำกว่าเสมอ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ คำสั่งจำกัดการขาย (Sell Limit Order) จะดำเนินการที่ราคาจำกัดหรือสูงกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ขาย กฎนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำความเข้าใจกลไกของคำสั่ง
โดยสรุป คำสั่งจำกัดเป็นเครื่องมือสำหรับเทรดเดอร์ที่อดทนและรอบคอบ จำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างจุลภาคของตลาดและระดับราคา แต่ในระยะยาว คำสั่งนี้จะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ใช้ด้วยราคาเข้าและออกที่ดีขึ้น ต้นทุนการทำธุรกรรมที่ลดลง และประสิทธิภาพของระบบการซื้อขายโดยรวมที่เพิ่มขึ้น
คำสั่งรอดำเนินการ (Pending Order) ในการซื้อขายคืออะไร?
คำสั่งรอดำเนินการ (Pending Order) ในการซื้อขาย คือประเภทของคำสั่งที่ไม่ได้ดำเนินการทันที แต่จะถูกเปิดใช้งานเมื่อตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับราคาที่ไปถึงระดับหนึ่ง คำสั่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือหลักสำหรับการซื้อขายอัตโนมัติ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคอยติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง
คำสั่งรอดำเนินการ (Pending Order) ประกอบด้วยคำสั่งทั้งหมดที่อธิบายไว้ข้างต้น ยกเว้นคำสั่งตลาด ซึ่งได้แก่ คำสั่งจำกัด คำสั่งหยุด (Stop Order) คำสั่งทำกำไร (Take Profit) และคำสั่งผสมของคำสั่งเหล่านี้ คำสั่งเหล่านี้จะถูกวางไว้ในระบบการซื้อขายและจะคงอยู่จนกว่าสภาวะตลาดจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด เมื่อเปิดใช้งานแล้ว คำสั่งเหล่านี้จะถูกดำเนินการหรือแปลงเป็นคำสั่งประเภทอื่น
คุณค่าหลักของคำสั่งรอดำเนินการอยู่ที่ความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์ เทรดเดอร์สามารถวางคำสั่งได้หลายสิบคำสั่งภายในเวลาไม่กี่นาทีในตราสารที่แตกต่างกันและในระดับราคาที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเครือข่ายการซื้อขายที่ซับซ้อน (กริด) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในกลยุทธ์ที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าราคาจะผันผวนภายในช่วงที่กำหนด
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือวินัย คำสั่งรอดำเนินการจะยึดตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เทรดเดอร์เมื่อกำหนดจุดเข้า จุดตัดขาดทุน และจุดทำกำไรแล้ว จะสามารถวางคำสั่งที่เกี่ยวข้องและเบี่ยงเบนไปจากกราฟได้อย่างอิสระ วิธีนี้ช่วยป้องกันอิทธิพลเชิงลบของอารมณ์ต่างๆ เช่น ความกลัวว่าจะพลาด (FOMO) หรือความหวังที่จะกลับตัวจากสถานะที่ขาดทุน
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคำสั่งรอดำเนินการไม่ได้รับประกันการดำเนินการ 100% ในสภาวะตลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว (เช่น ในช่วงที่เกิดช่องว่าง) ราคาอาจกระโดดขึ้นเหนือระดับที่คำสั่งเปิดใช้งาน และคำสั่งนั้นจะไม่ดำเนินการ นอกจากนี้ โบรกเกอร์อาจกำหนดขีดจำกัดระยะห่างระหว่างคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการกับราคาตลาดปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คำสั่งเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับเทรดเดอร์ยุคใหม่
คำสั่งหยุด (Stop Order) ในการซื้อขายคืออะไร?
คำสั่งหยุด (Stop Order) ในการซื้อขายเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด วัตถุประสงค์หลักและสำคัญที่สุดคือการจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายแบบเปิด หลักการทั่วไปในแวดวงอาชีพคือ “อย่าเปิดการซื้อขายโดยไม่มีคำสั่งหยุด” กฎนี้เป็นรากฐานของการรักษาเงินทุนในการซื้อขาย
คำสั่งหยุดทำหน้าที่เป็นกลไกทางออกฉุกเฉิน โดยจะถูกวางไว้ ณ จุดที่แนวคิดการซื้อขายเริ่มต้นถูกมองว่าไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ซื้อหุ้นโดยคาดว่าจะราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากแนวรับ คำสั่งหยุดจะถูกวางไว้ต่ำกว่าระดับนั้นเล็กน้อย การทะลุแนวรับหมายความว่าสมมติฐานของตลาดล้มเหลว และควรปิดสถานะโดยขาดทุนน้อยที่สุด
นอกจากฟังก์ชันป้องกันแล้ว คำสั่งหยุดการซื้อขาย (Stop Order) ยังใช้ในการเปิดสถานะซื้อขายอีกด้วย คำสั่งซื้อ (Buy Order) ที่วางไว้เหนือราคาปัจจุบันจะช่วยให้สามารถเข้าสู่ตลาดได้เมื่อได้รับการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น เช่น เมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญ ในทำนองเดียวกัน คำสั่งขาย (Stop Order) ที่วางไว้ต่ำกว่าราคาปัจจุบันจะใช้ในการเข้าสู่สถานะขาย (Short Order) เมื่อราคาทะลุแนวรับ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มขาลงที่กำลังแข็งแกร่งขึ้น
การวางคำสั่งหยุดการซื้อขาย (Stop Order) เป็นศิลปะที่ต้องพิจารณาถึงความผันผวนของสินทรัพย์ หากวางคำสั่งหยุดการซื้อขายใกล้กับราคาเข้ามากเกินไป อาจถูกกระตุ้นโดย “สัญญาณรบกวน” แบบสุ่มของตลาด (การทะลุราคาที่ผิดพลาด) อย่างไรก็ตาม หากวางคำสั่งหยุดการซื้อขายมากเกินไป จะนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากอย่างไม่สมเหตุสมผลหากถูกกระตุ้น เทรดเดอร์หลายรายใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เช่น Average True Range (ATR) หรือระดับกราฟหลัก เพื่อกำหนดระดับการหยุดการซื้อขาย
ท้ายที่สุดแล้ว คำสั่งหยุดการซื้อขาย (Stop Order) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ปุ่ม” สำหรับปิดสถานะขาดทุน แต่มันเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่กำหนดความเสี่ยงต่อการซื้อขาย (R) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการคำนวณขนาดสถานะและการจัดการเงินทุน การใช้คำสั่ง Stop Order อย่างถูกต้องเป็นหนึ่งในสัญญาณหลักของแนวทางการเทรดแบบมืออาชีพ
คำสั่ง Take-profit ในการซื้อขายคืออะไร?
คำสั่ง Take-profit ในการซื้อขายเป็นเครื่องมือสำหรับการล็อกกำไรอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ Stop-loss เป็นจุดที่ทำให้เทรดเดอร์ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ส่วน Take-profit เป็นจุดที่ทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จ คำสั่งนี้ช่วยให้สามารถทำกำไรได้โดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนการเทรด
ปรัชญา Take-profit ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ความโลภเป็นศัตรูของเทรดเดอร์” หากไม่มีระดับการทำกำไรที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เทรดเดอร์มักจะตกอยู่ภายใต้อารมณ์: พวกเขาอาจการปิดสถานะซื้อขายที่ประสบความสำเร็จก่อนกำหนดนั้นเป็นเรื่องง่าย เพราะกลัวการย่อตัวลง หรือในทางกลับกัน การถือสถานะไว้นานเกินไปโดยหวังว่าจะได้กำไรมากขึ้น แต่สุดท้ายกลับต้องเห็นกำไรกลายเป็นขาดทุน การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ช่วยขจัดปัญหาเหล่านี้ได้
ในทางเทคนิคแล้ว การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) เป็นคำสั่งขายแบบจำกัดราคา (Limit Sell Order) ชนิดหนึ่ง สำหรับสถานะ Long จะเป็นคำสั่งขายแบบจำกัดราคาที่ตั้งไว้สูงกว่าราคาเปิด การดำเนินการนี้รับประกันว่าสินทรัพย์จะถูกขายในราคาเป้าหมายหรือสูงกว่า สำหรับสถานะ Short จะเป็นคำสั่งซื้อแบบจำกัดราคาที่ตั้งไว้ต่ำกว่าราคาเปิด
การกำหนดระดับจุดทำกำไร (Take Profit) เป็นส่วนสำคัญของการสร้างระบบการซื้อขาย ซึ่งอาจพิจารณาจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค (ระดับฟีโบนัชชี รูปแบบกราฟ เส้นแนวโน้ม) หรือการคำนวณความเสี่ยง/ผลตอบแทน ยกตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์เสี่ยง 50 จุด (Stop Loss) พวกเขาสามารถตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้ที่ 100 จุด (อัตราส่วน 1:2) หรือ 150 จุด (อัตราส่วน 1:3)
ดังนั้น Take-profit จึงไม่ใช่แค่วิธีดึงเงินออกจากตลาดเท่านั้น แต่มันเป็นเครื่องมือที่บังคับให้เทรดเดอร์คิดล่วงหน้าเกี่ยวกับศักยภาพในการทำกำไรของไอเดียของพวกเขา และชั่งน้ำหนักกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การบรรลุเป้าหมาย Take-profit อย่างสม่ำเสมอส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของเทรดเดอร์ เสริมสร้างความมั่นใจในระบบของพวกเขา
คำสั่ง Trailing Stop คืออะไรในการเทรด?
คำสั่ง Trailing Stop เป็นเครื่องมือแบบไดนามิกที่ขยับระดับ Stop-loss โดยอัตโนมัติหลังจากราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดี วัตถุประสงค์ของคำสั่งนี้คือการปกป้องกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สถานะเปิดอยู่และมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของแนวโน้มต่อไป นี่เป็นการประนีประนอมระหว่างการ Take-profit ก่อนกำหนดและการเสี่ยงที่จะสูญเสียกำไรทั้งหมดหากราคากลับตัว
หลักการของ Trailing Stop สามารถอธิบายได้ดีที่สุดด้วยตัวอย่าง สมมติว่าเทรดเดอร์ซื้อสินทรัพย์ที่ราคา 100 ดอลลาร์ และตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 10 ดอลลาร์ โดยจุดหยุดจะอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ในตอนแรก หากราคาเพิ่มขึ้นถึง 110 ดอลลาร์ จุดหยุดจะขยับไปที่ 100 ดอลลาร์ (จุดคุ้มทุน) หากราคายังคงเพิ่มขึ้นถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ จุดตัดขาดทุน (Stop) จะขยับไปที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคากลับตัวและตกลงมาที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ สถานะจะถูกปิดโดยมีกำไร 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป จุดตัดขาดทุนจะยังคง “คืบคลาน” ไปพร้อมกับราคา
มีจุดตัดขาดทุนแบบ Trailing Stop หลายประเภท ซึ่งแตกต่างกันที่วิธีการกำหนดระยะทาง จุดตัดขาดทุนแบบ Trailing Stop คงที่จะถูกกำหนดเป็นหน่วย pip หรือสกุลเงินของบัญชี (เช่น 50 pip) จุดตัดขาดทุนแบบเปอร์เซ็นต์จะเลื่อนราคาตามเปอร์เซ็นต์ที่ระบุของมูลค่าปัจจุบัน เวอร์ชันที่ทันสมัยที่สุดสามารถเชื่อมโยงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือตัวบ่งชี้อื่นๆ ที่ปรับตามความผันผวนได้แบบไดนามิก
ข้อได้เปรียบหลักของจุดตัดขาดทุนแบบ Trailing Stop คือความสามารถในการเพิ่มผลกำไรสูงสุดจากการเคลื่อนไหวของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การติดตามแนวโน้ม ซึ่งไม่ทราบล่วงหน้าว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปไกลแค่ไหน นอกจากนี้ยังให้ความสบายใจทางจิตใจ เนื่องจากเทรดเดอร์รู้ว่ากำไรของตนได้รับการคุ้มครองและไม่จำเป็นต้องเลื่อนจุดตัดขาดทุนด้วยตนเอง
ข้อเสียเปรียบหลักคือความเป็นไปได้ที่จะออกจากสถานะก่อนกำหนดในช่วงที่เกิดการปรับฐาน ในตลาดที่มีความผันผวน ราคาอาจลดลงมากพอที่จะทำให้เกิด trailing stop จากนั้นจึงกลับตัวและเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม เพื่อลดผลกระทบนี้ เทรดเดอร์มักใช้ trailing stop กว้างๆ โดยอิงตามความผันผวน (เช่น การใช้ ATR)
Order Flow
คำสั่ง Flow ในการซื้อขายคืออะไร? คำสั่ง Flow หรือ Order Flow เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดที่ตรวจสอบคำสั่งซื้อและขายในตลาดจริงแบบเรียลไทม์ ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบคลาสสิกที่มุ่งเน้นไปที่ราคาที่กำหนดไว้บนกราฟ คำสั่ง Flow ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวเหล่านี้ นั่นคืออุปทานและอุปสงค์ในระดับจุลภาค
ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์คำสั่ง Flow นำมาจากสมุดคำสั่งซื้อ (ระดับ II) และเทป Time & Sales (Time & Sales) สมุดคำสั่งซื้อจะแสดงคำสั่งซื้อและขายแบบ Limit Order ทั้งหมดในปัจจุบัน พร้อมปริมาณคำสั่งซื้อและขาย เทป Time & Sales จะแสดงประวัติการซื้อขายที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ ราคา ปริมาณ และเวลาที่ซื้อหรือขายสินทรัพย์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ เทรดเดอร์สามารถเห็นได้ว่าผู้เล่นหลักๆ กำลังกระจุกตัวอยู่ที่ใด
แนวคิดหลักของกระแสคำสั่งซื้อขายประกอบด้วยการระบุกลุ่มปริมาณ (การซื้อขายจำนวนมากที่ระดับราคาหนึ่งๆ) การระบุการดูดซับ (เมื่อคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก “ดูดซับ” สภาพคล่องทั้งหมดในระดับหนึ่งๆ) และการวิเคราะห์เดลต้า (ความแตกต่างระหว่างปริมาณคำสั่งซื้อขายในตลาดและคำสั่งซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด) เดลต้าที่เป็นบวกมักบ่งชี้ถึงผู้ซื้อที่มีอิทธิพลเหนือกว่า
ข้อดีของการซื้อขายกระแสคำสั่งซื้อขายคือความสามารถในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาก่อนที่จะสะท้อนบนกราฟ ตัวอย่างเช่น หากคำสั่งขายแบบจำกัดขนาดใหญ่ปรากฏที่ระดับแนวต้านหนึ่งๆ แต่คำสั่งซื้อในตลาดกำลัง “ดูดซับ” คำสั่งเหล่านั้นอยู่ นี่อาจเป็นสัญญาณของการทะลุผ่านระดับดังกล่าวในเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์ได้เปรียบในด้านข้อมูล
อย่างไรก็ตามการไหลของคำสั่งเช่าซื้อเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ซึ่งจำเป็นต้องมีสมาธิอย่างต่อเนื่องและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโครงสร้างจุลภาคของตลาด เหมาะสำหรับเดย์เทรดเดอร์และนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ซื้อขายจำนวนมากตลอดทั้งวัน สำหรับนักลงทุนระยะยาว วิธีการนี้มีคุณค่าในทางปฏิบัติที่จำกัด
บล็อกคำสั่งที่เหมาะสมในการเทรด
บล็อกคำสั่งที่เหมาะสมในการเทรดเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากแนวคิด Smart Money Concepts (SMC) ซึ่งระบุโซนกราฟที่ผู้เล่นสถาบันขนาดใหญ่ (smart money) วางคำสั่งจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งและมีทิศทาง โซนเหล่านี้ถือเป็นระดับความน่าจะเป็นสูงสำหรับการกลับตัวในอนาคตหรือการดำเนินแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง
บล็อกคำสั่งเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวแบบแรงกระตุ้นที่รุนแรงซึ่ง “กวาดล้าง” สภาพคล่อง โดยหมายถึงแท่งเทียนสุดท้ายหรือกลุ่มแท่งเทียนที่มีการรวมตัวทันทีก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งนี้ เชื่อกันว่านี่คือโซนที่ “smart money” วางคำสั่งจำนวนมากก่อนที่จะเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
บล็อกคำสั่งมีสองประเภทหลัก ได้แก่ กระทิงและหมี บล็อกคำสั่งขาขึ้น (Bullish order block) คือโซนก่อนการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นแนวรับ บล็อกคำสั่งขาลง (Bearish order block) คือโซนก่อนการเคลื่อนไหวลงอย่างรุนแรง ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นแนวต้าน ราคามักจะแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อระดับเหล่านี้โดยการดีดตัวออกจากโซนเหล่านั้นหรือรวมตัวใกล้ระดับเหล่านั้น
ความถูกต้องของบล็อกคำสั่งถูกกำหนดโดยเกณฑ์หลายประการ ประการแรก ต้องวางไว้ก่อนการเคลื่อนไหวที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทะลุผ่าน (Breakout) ประการที่สอง บล็อกคำสั่งเองต้องอยู่ในกรอบที่ค่อนข้างแคบ ประการที่สาม เมื่อราคากลับมาที่บล็อกคำสั่งนี้ จะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง เช่น การดีดตัวกลับหรือการชะลอตัว (การรวมตัว)
ตรรกะการซื้อขายตามบล็อกคำสั่งคือ ผู้เล่นสถาบันจะรักษาสถานะเริ่มต้นของตนไว้ หากพวกเขาซื้อในโซนใดโซนหนึ่ง (บล็อกคำสั่งขาขึ้น) เมื่อราคากลับมาที่โซนนั้น พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้ออีกครั้งเพื่อเฉลี่ยหรือเพิ่มสถานะ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการดีดตัวขึ้นใหม่ ดังนั้น บล็อกคำสั่งจึงเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ได้ “มองดูไพ่” ของเงินทุนขนาดใหญ่
จะหาบล็อกคำสั่งในการเทรดได้อย่างไร?
การค้นหาบล็อกคำสั่งในการเทรดเป็นทักษะที่ต้องอาศัยความเข้าใจบริบทของการเคลื่อนไหวของตลาดและการฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟ กระบวนการระบุสามารถแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอนตามลำดับ ซึ่งช่วยให้สามารถระบุระดับที่มีนัยสำคัญที่ “เงินฉลาด” กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ
ขั้นตอนแรกคือการระบุการเคลื่อนไหวของแรงกระตุ้นที่แข็งแกร่งและมีทิศทาง (แท่งเทียนขนาดใหญ่ มักมีเงาเล็กหรือไม่มีเลย) การเคลื่อนไหวนี้เรียกว่า “แรงกระตุ้น” หรือ “การเปลี่ยนแปลง” ซึ่งบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวเชิงรุกของผู้เล่นรายใหญ่
ขั้นตอนที่สองคือการมองจากซ้ายไปขวาไปยังแรงกระตุ้นนี้จนกระทั่งเริ่มต้น จำเป็นต้องค้นหาแท่งเทียนสุดท้ายหรือกลุ่มแท่งเทียนที่กะทัดรัด (โซนการรวมตัว) ทันทีก่อนที่จะเริ่มต้นการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังนี้ โซนนี้คือบล็อกคำสั่งที่เสนอ สำหรับบล็อกขาขึ้น ให้มองหาแท่งเทียนก่อนแรงกระตุ้นขาขึ้น สำหรับบล็อกขาลง ให้มองหาแท่งเทียนก่อนแรงกระตุ้นขาลง
ขั้นตอนที่สามคือการกำหนดขอบเขตของบล็อกอย่างแม่นยำ วิธีการแบบคลาสสิกตั้งสมมติฐานว่าบล็อกคำสั่งถูกจำกัดด้วยจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของแท่งเทียนนี้ (หรือกลุ่มแท่งเทียน) เทรดเดอร์บางรายใช้เพียง 50% ของตัวแท่งเทียนในการเข้าซื้อ กฎสำคัญคือ ราคาต้องออกจากบล็อกนี้ทั้งหมดก่อนที่แรงกระตุ้นจะเกิดขึ้น นั่นคือ บล็อกจะต้อง “พัง”
ขั้นตอนที่สี่คือการตรวจสอบความถูกต้อง บล็อกคำสั่งที่ระบุจะมีผลบังคับใช้หากราคากลับมาที่บล็อกคำสั่งในอนาคตและแสดงปฏิกิริยาที่ชัดเจน เช่น การดีดตัวกลับอย่างรวดเร็ว การก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (เช่น แท่งเทียนแบบแท่งขาขึ้น หรือแท่งเทียนแบบกลืนกิน) หรืออย่างน้อยที่สุดคือการชะลอตัวและการรวมตัว ยิ่งราคาตอบสนองต่อระดับนี้มากครั้งในอดีต ก็ยิ่งถือว่ามีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น
เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหา เทรดเดอร์หลายรายใช้อินดิเคเตอร์เฉพาะทางที่ทำเครื่องหมายบล็อกคำสั่งบนกราฟโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม การค้นหาและวิเคราะห์ด้วยตนเองถือว่ามีประโยชน์มากกว่า เนื่องจากช่วยให้เข้าใจบริบทของตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและกรองบล็อกคำสั่งที่ผิดพลาดหรืออ่อนแอออกไป การฝึกฝนจากข้อมูลในอดีตเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้วิธีการค้นหาบล็อกคำสั่งที่มีคุณภาพสูง
ปริมาณคำสั่งซื้อขายในการซื้อขายคืออะไร?
ปริมาณคำสั่งซื้อขายในการซื้อขายคือลักษณะเชิงปริมาณที่บ่งชี้จำนวนล็อต (หน่วยของสินทรัพย์อ้างอิง) ที่เทรดเดอร์ตั้งใจจะซื้อหรือขายในการซื้อขายครั้งเดียว ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของคำสั่งซื้อขายใดๆ ควบคู่ไปกับทิศทาง (ซื้อ/ขาย) และราคา ปริมาณเป็นตัวกำหนดกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย รวมถึงผลกระทบต่อตลาดโดยตรง
ปริมาณสามารถวัดได้ในหน่วยต่างๆ ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ ได้แก่ ล็อต (ในตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์) สัญญา (ในตลาดฟิวเจอร์ส) และเหรียญหรือโทเคน (ในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี) ตัวอย่างเช่น 1 ล็อตมาตรฐานในฟอเร็กซ์เทียบเท่ากับ 100,000 eหน่วยของสกุลเงินหลัก ล็อตมินิ ไมโคร และนาโนก็มีให้เลือกสำหรับเทรดเดอร์รายย่อย ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเทรดในปริมาณที่น้อยกว่าได้
ขนาดคำสั่งซื้อขายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการเงิน กฎการบริหารความเสี่ยงกำหนดว่าขนาดคำสั่งซื้อขายควรคำนวณจากขนาดจุดตัดขาดทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่อการเทรดแต่ละครั้ง (โดยปกติคือ 1-2% ของเงินฝาก) สูตรคือ: ปริมาณ = (ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในกองทุนรวม) / (ระยะทางที่จะหยุดการขาดทุนเป็นหน่วย Pips) ซึ่งจะช่วยป้องกันการสูญเสียร้ายแรง
ในแง่ของผลกระทบต่อตลาด ขนาดคำสั่งซื้อขายแบ่งออกเป็นสองประเภท โดยทั่วไปคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์รายย่อยจะมีขนาดเล็กและไม่มีผลกระทบต่อราคาอย่างเห็นได้ชัด (เรียกว่า “การซื้อขายสภาพคล่อง”) ในทางกลับกัน คำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่จากผู้เล่นสถาบันสามารถเคลื่อนไหวตลาดได้ เพื่อปกปิดเจตนา ผู้เล่นรายใหญ่มักจะแบ่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ออกเป็นคำสั่งซื้อขายขนาดเล็กจำนวนมาก (การซื้อขายแบบอัลกอริทึม)
โดยสรุป การเลือกปริมาณคำสั่งซื้อขายเป็นมากกว่าแค่การป้อนตัวเลขลงในเทอร์มินัล นี่คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ผสมผสานการวิเคราะห์ จิตวิทยา และคณิตศาสตร์การซื้อขาย การกำหนดขนาดคำสั่งซื้อขายที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณซื้อขายได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องเสี่ยงกับความเสี่ยงที่มากเกินไป และเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ที่จริงจังทุกคน
คำสั่งซื้อขายตามตลาดคืออะไร?
คำสั่งซื้อขายตามตลาด คือ คำสั่งสำหรับการดำเนินการซื้อขายทันที ณ ราคาเสนอซื้อ (bid) หรือราคาเสนอขาย (ask) ที่ดีที่สุด เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและรวดเร็วที่สุดในการเข้าหรือออกจากตลาด เมื่อเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อขายตามตลาด พวกเขาต้องยอมเสียการควบคุมราคาที่แน่นอนในการดำเนินการ เพื่อความรวดเร็วและการรับประกันการดำเนินการ
คำสั่งซื้อขายตามตลาดดำเนินการโดยการดูดซับสภาพคล่องจากสมุดคำสั่งซื้อ ลองนึกภาพว่าสมุดคำสั่งซื้อของหุ้นแสดงคำสั่งซื้อ (bid) ที่ 100.00 ดอลลาร์ และคำสั่งซื้อขาย (ask) ที่ 100.05 ดอลลาร์ หากเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อขายตามตลาด คำสั่งของพวกเขาจะถูกดำเนินการที่ 100.05 ดอลลาร์ ทำให้อุปทานในตลาดลดลง สเปรด (0.05 ดอลลาร์ในกรณีนี้) คือค่าคอมมิชชั่นโดยตรงสำหรับการใช้คำสั่งซื้อขายตามตลาด
ข้อดีหลักของคำสั่งซื้อขายตามตลาดคือการดำเนินการทันที ในสถานการณ์ที่เวลาเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เมื่อมีการประกาศข่าวเชิงลบเมื่อจำเป็นต้องปิดสถานะอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อซื้อขายข่าวเมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คำสั่งซื้อขายตามตลาดเป็นทางเลือกเดียวที่ถูกต้อง ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทรดเดอร์จะไม่ “หลุดออกจากตลาด”
ข้อเสียเปรียบหลักและสำคัญที่สุดคือการลื่นไถล (Slippage) ในสภาวะที่มีสภาพคล่องต่ำหรือความผันผวนสูง ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดการณ์และราคาดำเนินการจริงอาจมีนัยสำคัญ คำสั่งซื้อขายตามตลาดสามารถดำเนินการได้ในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นการ “กิน” อุปทานในสมุดคำสั่งซื้อขาย และในทางกลับกัน
แม้จะมีความเสี่ยง แต่คำสั่งซื้อขายตามตลาดก็มีบทบาทสำคัญในการซื้อขาย ใช้งานง่าย ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เริ่มต้น เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักจะใช้คำสั่งซื้อขายเมื่อกลยุทธ์ของพวกเขาต้องการการเข้าหรือออกทันที แต่พวกเขามักจะคำนึงถึงสภาพคล่องและความผันผวนของตลาดในปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบเชิงลบจากการลื่นไถล
สรุป
ในการเทรด คำสั่งซื้อขายโดยพื้นฐานแล้วคือคำสั่งของคุณที่ส่งไปยังโบรกเกอร์ เป็นคำสั่งให้ “ทำสิ่งนี้และสิ่งนั้น” ลองนึกภาพการสั่งอาหารที่ร้านอาหาร: คุณบอกพนักงานเสิร์ฟว่าคุณต้องการอะไร ต้องการเท่าไหร่ และบางครั้งก็ต้องการราคาเท่าไหร่ (ถ้ามีหุ้น) คำสั่งก็คือคำสั่งของคุณในตลาดการเงิน หากไม่มีระบบนี้ การซื้อขายคงเป็นไปไม่ได้
คำสั่งทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองประเภทกว้างๆ คือ “ดำเนินการทันที” และ “ดำเนินการภายหลังเมื่อราคาถึงระดับหนึ่ง” คำสั่งตลาดคือคำสั่ง “ดำเนินการทันที” ซึ่งจะดำเนินการทันที แต่ ณ ราคาปัจจุบัน โดยไม่มีการรับประกันใดๆ คำสั่งอื่นๆ ทั้งหมด (คำสั่งจำกัดราคา คำสั่งหยุดขาดทุน) จะเป็นคำสั่ง “ดำเนินการภายหลัง” คุณตกลงกับตลาดล่วงหน้าในราคาที่คุณต้องการซื้อหรือขาย จากนั้นก็รอ
สิ่งสำคัญที่สุดของการใช้คำสั่งคือการจัดการความเสี่ยง คำสั่งตัดขาดทุนเปรียบเสมือนตาข่ายนิรภัยของคุณ มันจะปิดการซื้อขายโดยอัตโนมัติโดยขาดทุนเล็กน้อยหากเกิดข้อผิดพลาด ป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียทุกอย่าง คำสั่ง Take Profit คือเป้าหมายของคุณ มันจะล็อกกำไรของคุณโดยอัตโนมัติ ป้องกันไม่ให้คุณโลภและสูญเสียทุกอย่าง คำสั่งสองคำสั่งนี้คือรากฐานของการอยู่รอดของตลาด
คำสั่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น trailing stop ช่วยให้คุณ “ปล่อยให้กำไรไหลไป” โดยการปรับ stop-loss โดยอัตโนมัติเพื่อให้สอดคล้องกับราคาที่สูงขึ้น การวิเคราะห์การไหลของคำสั่งและคำสั่งแบบบล็อกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจรูปแบบการซื้อขายของธนาคารและกองทุนขนาดใหญ่
ท้ายที่สุดแล้ว การรู้วิธีใช้คำสั่งไม่ได้เป็นเพียงทักษะทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานของวินัยในการเทรดอีกด้วย การวางคำสั่งล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเทรดตามแผน แทนที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อย่างความกลัวและความโลภ คุณจะเปลี่ยนเกมการพนันให้กลายเป็นธุรกิจที่เป็นระบบ มีกฎการเข้าและออกที่ชัดเจน นี่คือสิ่งที่แยกเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จออกจากเทรดเดอร์ที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว



